วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

ฝรั่งแช่บ๊วย ไม่ระวัง...ถึงตาย!


เตือนหนุ่มสาวที่ชอบผลไม้รถเข็น
เพราะเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยสยาม เขาร่วมกันเก็บตัวอย่างผลไม้รถเข็นเพื่อทดสอบการปนเปื้อนในอาหาร ปรากฏว่าผลไม้แปรรูปมีการปนเปื้อนของสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายถึงร้อยละ 64.2 ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งดองบ๊วยที่มีสีเขียวและสีแดงเข้ม และยังมีสารกันราหรือวัตถุเคมีเจือปนอยู่ในผลไม้ถึงร้อยละ 32.1
โดย พญ. มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็ออกมาเตือนว่า
การบริโภคผลไม้และอาหารที่มีสีสันสวยงามจากสารเคมี อาจส่งผลให้ท้องเสีย ท้องร่วง คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ หูอื้อ มีไข้ หายใจขัด เป็นบ่อเกิดมะเร็งและอาจทำให้เสียชีวิตได้ด้วยซ้ำ ดังนั้น การเลือกผลไม้ควรพิจารณาจากสีและรูปร่างที่มีลักษณะเป็นธรรมชาติ และดูความสะอาดดีๆ หากเป็นไปได้เตรียมผลไม้มารับประทานเองจะปลอดภัยที่สุดค่ะ

ความจำสั้นแต่รักฉันยาว



คุณเคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่า ว่าอีก 20 - 30 ปีข้างหน้าจะมีใครคอยอยู่ คอยดูแลกัน

คอยเป็นห่วงเป็นใย ยามเจ็บป่วยไม่สบาย......

ลองอ่านเรื่องนี้ดูนะ.....แล้วคุณจะรู้ว่าควรบอกรักคนที่คุณรัก...อย่ารอให้สายเกินไป.....

มีตายายคู่หนึ่งอยู่กินกันมาหลายปี...คุณตาเป็นคนอารมณ์ดี ส่วนคุณยายขี้งอนนิดๆ แต่ก็ได้คุณตาคอยง้อคอยตามใจตลอด....

คุณตาคุณยายอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ทุกเช้าคุณตาจะไปตลาดเพื่อซื้อข้าวของมาประกอบอาหาร ส่วนคุณยายก็มีหน้าที่ปรุงอาหารรสเลิศ ถ้ามีเวลาคุณยายก็จะทำขนมขาย

เช้าวันหนึ่งคุณตาคุณยายกำลังเตรียมตัวไปขายขนมกันที่ตลาดใกล้บ้าน วันนี้คุณตาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเป็นวันครบรอบแต่งงานของทั้งคู่ คุณตาถามคุณยายว่า

" ยายจำได้ไหมว่าวันนี้วันอะไร" คุณยายตอบว่า
"วันเสาร์ไงตา วันนี้เราต้องไปขายขนม"
คุณตาโกรธคุณยายมาก บอกว่ายายทำไมจำไม่ได้.....แล้วคุณตาก็ก้มหน้าก้มตาดืมกาแฟที่คุณยายเตรียมไว้ให้ แต่ทว่ารสชาดกาแฟมันเปลี่ยไปไม่เหมือนกาแฟที่ดื่มมากว่า 10 ปี

คุณตากลับมาด้วยความน้อยใจคุณยาย ขึ้นไปบนห้องนอน คุณตากลับพบกล่องหนึ่ง

ในกล่องเต็มไปด้วยแว่นตาของคุณยาย ที่คุณยายบอกว่าหาไม่เจอ
แล้วคุณตาได้พบกับเงินเพียงไม่กี่ร้อยบาท แล้วเขียนว่า
" เงินไว้ซื้อที่ใส่ตาให้คุณตา"....
คุณตามองไปที่ประตูห้อง มีเสียงเรียกหนึ่งบอกคุณตาว่า
"ตาเอ้ยไปกินข้าวได้แล้ว"
คุณตายิ้มอย่างมีความสุข อย่างน้อยภาวะสมองเสื่อมของคุณยายก็ไม่ได้ทำให้ความรักที่คุณยายมีต่อคุณตาน้อยลงไปกว่าเดิมเลย....

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

การหายใจ .. ล้างพิษ

ทำได้หรือเปล่าละ!!

เทคนิคเพิ่มความฉลาด




ใครที่รู้สึกว่าสมองอ่อนล้า เฉื่อย ชา และความจำถดถอย เรามีวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำให้กับสมองมาฝาก...

1.บริหารสมองอยู่เสมอ
ยิ่งเราใช้สมองมากและบ่อย เท่า ไหร่ เซลล์สมองจะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้ความสามารถในการจำดีขึ้นตามไปด้วย วิธีบริหารสมอง เช่น การเล่นหมากฮอส ต่อจิ๊กซอว์ หรือเล่นครอสเวิร์ดในเวลาว่าง

2.กินยาเสริมความจำ
มีผลการวิจัยยืนยันว่าหลังจาก การกินโสมในปริมาณ 400 มิลลิกรัมไปแล้ว 1 ชั่วโมง จะทำให้ความสามารถในการจำดี ขึ้นและส่งผลต่อไปอีกถึง 6 ชั่วโมง แปะก๊วยก็มีการยืนยันว่าส่งผลดีต่อระบบความจำเหมือนกัน เพราะจะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในสมอง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในอเมริกาพบว่า Vinpocetine ที่สกัดได้ขากต้น Periwinkle (ไม้ เลื้อยชนิดหนึ่งที่มีดอกสีฟ้า ใบเข้มเป็นมัน) นั้นจะช่วยเพิ่มความจำและความจดจ่อในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ให้มากขึ้นได้

3.กินผักและผลไม้สดเนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีอยู่สูงในผักและผลไม้สดจะไปทำลายอนุมูลอิสระซึ่งเกิดจากการสะสมเป็น เวลานานของเนื้อเยื่อไขมันอันจะทำให้สมองอ่อนแอลง และ ช่วยชะลออาการความจำถดถอยในผู้สูงอายุ อาทิ ผมไม้ที่มีสีแดง ม่วง และน้ำเงิน โดยเฉพาะตระกูลเบอร์รี่ ต่างๆ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่มีความเข้มข้น สูงที่เรียกว่า Anthocyanidin

4.ลดปริมาณแอลกอฮอล์
เพราะจะส่งผลต่อการปลดปล่อย สาระสำคัญในสมองโดยจะไปขัดขวางความสามารถในการสร้างความจำใหม่ ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นชื่อ ตัวเลข และเหตุการณ์ณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยิ่ง ไปกว่านี้ ความสามารถในการระลึกเหตุการณ์หรือ เรื่องราวเก่า ๆ ในอดีตก็จะถูกบั่นทอนไปด้วย

5.ออกกำลังกาย
ขณะที่ร่างกายของเราเคลื่อน ไหวนั้นสมองจะได้รับเลือดมากเป็นพิเศษซึ่งนั่นหมายถึงว่าสมองจะได้รับกลูโคส และออกซิเจนมากขึ้นทำให้สมองแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังไปเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมองที่ เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor) ให้ ทำงานได้ดีขึ้นด้วย

6.จดบันทึกช่วยจำ
เพราะโดยธรรมชาติของสมองเรา นั้นเมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตรงหน้า ความ สามารถในการจดจำสิ่งอื่นก็จะลดลง ฉะนั้นการย้าย ข้อมูลจากสมองมาเก็บไว้ในสมุดบันทึกอย่างคอมพิวเตอร์ ปาล์ม หรือโทรศัพท์มือถือ ก็เหมือสเป็นการช่วยลดความหนาแน่นของข้อมูลหรือเพิ่มพื้นที่ว่าง ในสมองเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

7.ทำสมาธิ
สมองของคนเรานั้นทำงานที่ความ ถี่หรือคลื่นสมองที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ เรากำลังทำหรือคิดอยู่ ภายใต้ความเครียดที่เกิด ขึ้น คลื่นเบต้าของสมองจะทำงานเร็วขึ้นซึ่งจะส่งผล ให้สมองลืมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นเราควรคิด ให้ช้าลง โดยการทำสมาธิ หลับ ตาลงช้าๆ หายใจเข้าเบาๆ ช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ปลายจมูก จาก นั้นหายใจออกช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ช่องจมูกทางขวา จากนั้นหายใจเข้าอีกครั้ง แต่ ครั้งนี้เวลาผ่อนลมหายใจออกให้ตั้งสติที่ช่องจมูกทางซ้าย ทำเช่นนี้สลับกันประมาณ 10 นาที ทุกวันรับรองว่าสมองตื้อๆ ตันๆ จะกลับมาโล่งโปร่งใสเหมือนเดิม

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

อ่านเลยความหมายดีนะ





เรื่องเล่า ว่า.... มีคน 2 คนเป็นเพื่อนซี้กัน

ต่างร่วมเดินทางไปในทะเลทรายด้วยกัน... ระหว่างทาง... เกิดโต้เถียงขัดแย้งไม่เข้าใจกัน
เพื่อนคนหนึ่ง...พลั้งลงมือ...ตบหน้าอีกฝ่าย
คนถูกทำ ร้าย...เจ็บปวด...แต่ไม่เอ่ยวาจา...

กลับเขียนลงบนผืน ทรายว่า 'วันนี้...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า'

พวกเขายังคงเดินทางต่อ...กระทั่งถึงแหล่งน้ำพวกเขา
ตัดสินใจอาบน้ำ...ชำระกาย...พลันคนที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ
เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ...เข้าช่วยชีวิต

เขาจึงรอดตาย...และยังคงไม่เอ่ยวาจา...กลับสลักลง ไปบนหินใหญ่ว่า 'วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉัน ไว้'

อีกคนไม่เข้าใจ ถามว่า
'เมื่อถูกฉันตบหน้า...เธอเขียนลงทราย...แล้วทำไมเมื่อครู่...ต้องสลักบน หิน'

อีกคนยิ้มพราย...กล่าวตอบ

'เมื่อถูกคนที่รักทำร้าย...เราควรเขียนมันไว้บนทราย ซึ่งสายลมแห่งการให้อภัย...จะทำหน้าที่พัดผ่าน...ลบล้างไม่เหลือ

แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย... บังเกิดเราควรสลักไว้บน ก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ... ซึ่งต่อให้มีสายลมแรงเพียงใด...ก็ไม่อาจ ลบล้างทำลาย.... '

ไข้หวัด...มาแล้ว พร้อมการเปลี่ยนแปลงของอากาศ

อากาศเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน เดี๋ยวหนาว วันเดียวเจอกับอากาศถึงสามฤดู แล้วอย่างนี้จะไม่เป็นหวัดคัดจมูกได้อย่างไรกัน.....?

ไข้หวัดถือเป็นโรคติดต่อที่สามารถแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็ว ติดต่อกันได้ง่ายทั้งทางลมหายใจ น้ำมูก หรือน้ำลายของผู้ป่วย แม้จะเป็นโรคที่ไม่เป็นอันตรายนัก แต่หากไม่รู้จักดูแลรักษาตัวเองให้ดี ก็อาจส่งผลให้เกิด

โรคแทรกซ้อนรุนแรงได้ เป็นโรคที่พบมากกว่าฤดูกาลอื่นๆ เพราะหวัดหน้าร้อน ก็มีน้อยยกเว้นคนที่เข้าๆ ออกๆ ในห้องแอร์บ่อยๆ หวัดหน้าฝนก็มีน้อยคนที่ตากฝนแล้วเป็นหวัดมักจะเป็นผู้ดี ผิวบาง ที่ไม่เคยโดนแดด โดนฝน แต่หวัด
ฤดูหนาวเป็นได้ทุกคน เพราะว่าอากาศหนาว ทำให้ความต้านทานโรคของร่างกายลดต่ำลง ฤดูหนาวคนมักจะปิดประตูหน้าต่างกันความหนาวเข้ามาโดยบังเอิญหากมีคนเป็นโรคไข้หวัดเข้ามารวมในห้องนั้น

จามฮัดเช้ย 2-3 ครั้ง ไวรัสหวัดก็จะแพร่กระจายไปเต็มห้องสามารถติดต่อมายังคนใกล้เคียงได้ง่าย โรคไข้หวัดในฤดูหนาวเกิดจากเชื้อไวรัสหวัด โดยมักจะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อ ตามตัว น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บหน้าอก เจ็บคอ ตาแดง เหนื่อย อ่อนเพลีย วิงเวียน นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดความรู้สึกทางเพศลดลงด้วย ส่วนมากจะไปทำงานไม่ไหว ทำให้เป็นโรคที่เป็นสาเหตุของคนไข้ ขาดงาน ลางานมากเป็นอันดับหนึ่ง ยิ่งถ้าหากว่ากินยาแก้หวัดลดน้ำมูกยิ่งง่วงนอนมากขับรถไม่ได้ ทำงานกับเครื่องจักรอันตรายมาก อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้จึงทำให้ต้องขาดงานมากที่สุด โรคไข้หวัดติดต่อกันง่ายทางน้ำมูก น้ำลาย ไอ จาม และจุมพิต ก็ตาม แต่ก็ต้องมีเหตุเสริม และสาเหตุช่วยคือ ความค้านทานของร่างกายลดต่ำลงจาการอดนอน กินเหล้าจัด สูบบุหรี่ ตากแดด ตากฝน โดนแอร์ โดนพัดลม เป็นสาเหตุช่วย ดังนั้นการป้องกันคือ หลีกเลี่ยงจากการสัมผัสคนที่ป่วย เป็นโรคไข้หวัดโดยตรง ไม่อยู่ในที่แออัด อากาศทึบรวมกับผู้ป่วย คนเป็นไข้หวัดเองก็ควรระวังไม่แพร่กระจาย ไปยังคนข้างเคียงที่รักหรือชัง เวลาไอจามควรจะมีผ้าเช็ดหน้าปิดปาก ปิดจมูก หรือเลี่ยงโดยการไม่ไปทำงาน พยายามฟิตให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ

เมื่อใดควรพาไปพบแพทย์

1. ถ้ามีไข้สูงหรือมีไข้นานผิดปกติประมาณ 3 วันขึ้นไป
2. ไอมากผิดจากหวัดทั่วไป
3. อาเจียน ซึม ถ่ายเหลว มีผื่นขึ้นหรืออาการผิดปกติอื่นๆ

จะรักษาได้อย่างไร

ไม่มียาฆ่าเชื้อโรคไวรัสหวัดโดยตรง ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะเพราะไร้ประโยชน์ การรักษาส่วนมากจะกินยาบรรเทาอาการที่ป่วยและทรมานคือ
1. พาราเซตามอล ลดไข้ แก้ปวดเมื่อย คลอเฟนนิรามีน ลดน้ำมูก ลดอาการแพ้ ลดอาการคัดจมูก แต่ยานี้ง่วงนอนมาก
2. ยาแก้ไอน้ำดำ เป็นยาแก้ไอ
3. ไบโซว่อน เป็นยาละลายเสมหะ
4. ยาโรมิล่าร์ เป็นยาระงับไอ
5. วิตามินซี ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง

จะรักษาได้อย่างไร

1. กินอาหารที่เป็นประโยชน์
2. ออกกำลังกายและพักผ่อนนอนหลับและทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ
3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดยัดเยียด
4. รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ
5. อย่าคลุกคลีกับผู้ป่วยโดยเฉพาะอย่าใช้ของร่วมกับผู้ป่วย

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

วันเด็กแห่งชาติ

ประวัติความเป็นมา         วันเด็กแห่งชาติ มีต้นกำเนิดมาจากการที่องค์การสหประชาชาติทั่วโลกเกิดความตื่นตัว และเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะให้ความสำคัญแก่เด็ก ๆ โดยในปี พ.ศ. 2498 นายวี เอ็ม กุล ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิการเด็กระหว่างประเทศ ได้เป็นผู้เสนอต่อกรมประชาสงเคราะห์ ให้มีการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญ และความต้องการของเด็ก รวมถึงเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ
         ทั้งนี้ การขานรับกับการจัดงานวันเด็กแห่งชาติได้เป็นไปอย่างกว้างขวาง ในปีเดียวกันนั้นเองทั่วโลกไม่น้อยกว่า 40 ประเทศ จัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติของตนขึ้น โดยได้มีการกำหนดว่าจะถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ

         สำหรับประเทศไทย ได้ตอบรับข้อเสนอของนายวี เอ็ม กุลกานี ซึ่งบอกผ่านมาทางกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทยว่า ไทยควรจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติ รัฐบาลจึงได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียน และนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข



         อย่างไรก็ตาม งานวันเด็กแห่งชาติครั้งแรกของประเทศไทย จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2498 จากนั้นเป็นต้นมา ราชการได้กำหนดวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ โดยจัดต่อเนื่องกันมาจนถึงปี 2506 ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติในปีนั้น ได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรที่จะเสนอเปลี่ยนวันจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสียใหม่ ด้วยเหตุผลว่า เดือนตุลาคมสำหรับประเทศไทย เป็นเดือนที่ยังอยู่ในฤดูฝน มีฝนตกมาก เด็ก ๆ ไม่สะดวกในการเดินทางมาร่วมงาน นอกจากนี้วันจันทร์เป็นวันปฏิบัติงานของผู้ปกครอง จึงไม่สามารถพาเด็กของตนไปร่วมงานได้

         ด้วยเหตุนี้ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบ ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507 ว่า ควรจะเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ที่มีความเหมาะสมและสะดวกมากกว่า ตามที่คณะกรรมการจัดงานวัดเด็กแห่งชาติเสนอมา ส่งผลให้ในปี 2507 ไม่มีงานวันเด็กแห่งชาติด้วยการประกาศเปลี่ยนได้เลยวันมาแล้ว งานวันเด็กแห่งชาติจึงเริ่มจัดขึ้นใหม่อีกครั้งในปี 2508 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน
วัตถุประสงค์การจัดงานวันเด็กแห่งชาติ         สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ที่รัฐบาลไทยกำหนดไว้ คือ เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก สนใจในการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเด็ก และช่วยเหลือสงเคราะห์เด็กเป็นพิเศษ เพื่อให้เด็กและและเยาวชนยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพื่อให้เด็กรู้จักหน้าที่ของตนและอยู่ในระเบียบวินัยอันดี และเพื่อเผยแพร่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิของเด็ก

         นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า ทุก ๆ ปี ในวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะพระราชทานพระบรมราโชวาท สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงโปรดประทานพระคติธรรม และ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีจะมอบคำขวัญวันเด็ก แสดงให้เห็นว่าเด็กเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุดของชาติ เราจึงได้ยินคำพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า "เด็กคืออนาคตของชาติ เด็กฉลาด ชาติเจริญ"
กิจกรรมวันเด็ก
         กิจกรรมต่าง ๆ ที่ปฏิบัติในวันเด็กแห่งชาติ  ล้วนมีจุดประสงค์ไปในทางเดียวกัน คือ เพื่อให้เด็กได้ตระหนักถึงคุณค่าบทบาท และความสำคัญของตนเอง โดยการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้น ในโรงเรียน หมู่บ้าน หรือหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนจัดขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกถิ่นจะมีขนมมากมาย มีคำเชื้อเชิญเพราะ ๆ มีคำอวยพรให้เด็กๆ เป็นวันที่เด็ก ๆ มีสิทธิพิเศษ ถนนทุกสาย เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ หรือร่วมกันทำกิจกรรม ในแต่ละชุมชนเพื่อเด็กๆ จัดบรรยากาศเพื่อเด็ก ๆ เพลงเด็ก ๆ ของขวัญเพื่อเด็ก ๆ ฯลฯ



 คำขวัญวันเด็ก          คำขวัญวันเด็ก เป็น คำขวัญที่นายกรัฐมนตรีมอบให้เด็กไทย เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติของทุกปี โดยคำขวัญวันเด็กมีขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2499 ในสมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ. 2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ให้คุณค่าความสำคัญของเด็ก จึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคติเตือนใจสำหรับเด็กปีละ 1 คำขวัญ (ก่อนถึงวันเด็กแห่งชาติ) นายกรัฐมนตรีสมัยต่อมา จึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน


happyคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ จากนายกรัฐมนตรีในปีต่าง ๆ           ในปี พ.ศ. 2502 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เห็นคุณค่าความสำคัญ ของเด็กจึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคิด สำหรับเด็ก นายกรัฐมนตรี ในสมัยต่อ ๆ มา จึงได้ถือปฎิบัติสืบต่อมาดังต่อไปนี้

          ซึ่ง "รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ" คำขวัญวันเด็กในปีนี้จาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทย ซึ่งท่านนายกฯ ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับแนวคิดของคำขวัญนี้ว่า

          รอบคอบ - เนื่องมาจากปัจจุบัน มีทางเลือกที่จะรับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อใหม่ต่าง ๆ มากมาย ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์เห็นว่า เยาวชนไทยต้องรู้รอบด้าน จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนอาจทำสิ่งที่เกิดปัญหาแก่ตนเองและสังคมได้ในอนาคต

          รู้คิด - เมื่อเยาวชนไทยเรียนรู้รอบด้านแล้ว ต้องรู้จักคิดใช้ชีวิตอย่างมีสติไม่ประมาท ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ จึงอยากให้น้อง ๆ เด็ก ๆ รู้จักคิดให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นด้วย

          จิตสาธารณะ - สังคมต้องพึ่งพิงกัน เห็นได้ในยามมีภัยคนไทยเราช่วยกัน การปลูกฝังจิตสำนึกเช่นนี้จำเป็นอย่างยิ่งในสังคม โดยต้องเริ่มที่เด็ก ๆ เยาวชนไทย

ความสุขของคุณ..คืออะไร?